Saturday, August 25, 2012

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) : แหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระจากผักและผลไม้


ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยมากในวงการอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ หลายคนคงสังสัยว่า ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) นั้นคืออะไร มีอะไรดี  มีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร  เอาล่ะ ... เรามาทำความรู้จักกับไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) กันดีกว่าค่ะ

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) สารธรรมชาติจากผักและผลไม้ที่เป็นสารสำคัญ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ

อาหารประเภทผัก ผลไม้ เป็นอาหารธรรมชาติที่มีสารสำคัญที่เรียกว่า Phytonutrient ( ไฟโตนิวเทรียนท์ )  มากมายหลายชนิด ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นสารธรรมชาติ ในผักผลไม้ที่เป็นสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย หลายประการ ทั้งนี้ด้วยกลไกที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) จากธรรมชาติ  อนุมูลอิสระคือ โมเลกุลที่มีธาตุที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาด อิเลกตรอน ไป 1ตัว  อนุมูลอิสระ ถือเป็นสารพิษที่สำคัญต่อเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ถ้ามีมากในเซลล์ก็เป็นอันตรายได้ โดยจะทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเซลล์ และองค์ประกอบอื่นๆของเซลล์  นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น หรือมีผลในระยะยาวโดยเป็นสาเหตุของ ความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารการก่อมะเร็ง โรคหัวใจ ต้อกระจก โรคทางภูมิคุ้มกันและโรคเรื้อรังอีกหลายชนิดอนุมูลอิสระ มีที่มาทั้งแหล่งภายนอกและภายในร่างกาย อนุมูลอิสระที่มาจากภายนอก ได้แก่ มลพิษในอากาศ ฝุ่น ควันบุหรี่ แสงแดด ความร้อน รังสีบางชนิด ยาบางชนิด จากแหล่งภายในร่างกาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นของเสียในขบวนการเมตาโบลิสม ของเซลล์ เมื่อเกิดอนุมูลอิสระแล้ว ร่างกายก็มีกลไกที่จะกำจัด อนุมูลอิสระ เหล่านี้โดยใช้เอนไซม์ต่าง ๆ และใช้สาร ไฟโตนิวเทรียนท์ที่สำคัญ เช่น วิตามิน อี  ( a-tocopherol )  เบตาคาโรทีน  ( Beta-carotene ) และวิตามิน ซี (Vitamin C) จากผักผลไม้และอาหาร

ไฟโตนิวเทรียนท์จากผักและผลไม้ ถือเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก  ปัจจุบัน จึงมีการสนับสนุนให้ทานผักและผลไม้มากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าอาจลดการก่อมะเร็ง ลดการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและ โรคเรื้อรังบางชนิด

ไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีในผักและผลไม้ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้าอนุมูลอิสระและมี คุณประโยชน์เป็นที่ยอมรับ มีดังนี้คือ 
  • ชาเขียว มี สารสำคัญเป็น Polyphenol (โพลีฟีนอล) ที่ชื่อ Catechin (คาเทชิน)
  • ทับทิม มี สารประเภท Flavonoid (ฟลาโวนอยด์)
  • แครอท มี Beta-carotene ( เบต้าคาโรทีน ) 
  • มะเขือเทศ มี Lycopene (ไลโคปีน)
  • มิกซ์เบอร์รี่  มี Flavonoid ชื่อ Anthocyanosides (แอนโธไซยาโนไซด์) ใน Bilberry 
  • อะเซโรลา เชอร์รี่ มี Vitamin C ถือเป็นแหล่งวิตามินซีธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง 
  • บร็อคโคลี่ มี Sulforaphane (ซัลโฟราเฟน)
  • โรสแมรี่ มี Rosemarinic acid (โรสแมรินิค แอซิด)
  • แอปเปิ้ล มีสารประเภท Polyphenol (โพลีฟีนอล) เช่นกัน  อัลฟัลฟ่า มี Saponins (ซาโปนิน)
  • มะกอกมี   Oleuropein (โอลีโรเปอิน)
  • เมล็ดองุ่นมี    Proanthocyanidin (โปรแอนโธไซยานิดิน) หรือ พีซีโอ (PCO:  Procyanidolic Oligomers)
  • ขมิ้นมีสารสำคัญคือ  Curcumin (เคอร์คิวมิน)
  • ผักโขม มีใยผัก วิตามินแร่ธาตุหลายชนิด

รายงานที่บอกว่าการทานผักและผลไม้ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมีมากมายซึ่งคิดว่ากลไกทั้งด้านที่ผัก และผลไม้มีสารกากใยมากซึ่งจะช่วยทางด้านลดมะเร็งลำไส้ใหญ่  ( อ้างอิงที่  1  ) นอกจากนี้คือกลไกทางด้านต้านอนุมูลอิสระ จากสารไฟโตนิวเทรียนท์  ตัวอย่างรายงานวิจัยเรื่องลดความเสี่ยงของโรค มะเร็ง มีมากมาย รายงานแรก พบว่า   ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ถึง 5.5  เท่า ซึ่งรายงานนี้ก็เป็นรายงานใหญ่ในการศึกษาแบบติดตามคนไข้ถึง 11,546  คนเป็นเวลา 25  ปี  ( อ้างอิงที่ 2 )  ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด ก็มีรายงานเช่นกัน  ( อ้างอิงที่  3 ) บางรายงานตรวจสอบชัดลงไปได้ถึงชนิดของผักด้วยเช่นพบว่า ผักที่มีสีเหลืองเช่น แครอท  พบว่าลดมะเร็งของปอดได้มากกว่าผักชนิดอื่นเป็นต้น  ( อ้างอิงที่ 4 ) นอกจากนี้มีรายงานใหญ่ที่ติดตามการเป็นมะเร็งของประชากร 10,068 คน เป็นเวลาถึง 19  ปี  ซึ่งในจำนวนนี้พบมะเร็งปอด 248  คน แต่ก็พบว่ากลุ่มที่มีการทานผักและผลไม้ที่มีวิตามิน เอ หรือ เบต้าคาโรทีน จะสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งปอดได้  ( อ้างอิงที่ 5  ) การทานผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีน วิตามิน ซี วิตามิน อี สูงสามารถที่จะลดอุบัติการการเป็นมะเร็งเต้านมได้จริงในสตรีวัยเจริญพันธ์ จากการติดตาม คนไข้ 83,234  คน เป็นเวลา 14 ปี ( อ้างอิงที่ 6 ) มะเร็งกระเพาะปัสสาวะลดความเสี่ยงได้ด้วยการทาน ผักประเภท บร็อคโคลี และหัวผักกาด ( อ้างอิงที่ 7 ) นอกจากนี้ผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีนสูงก็มีผลต่อการลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง จากการวิจัยย้อนหลังในคนไข้ 4,802  คนติดตามไป  4 ปี  ( อ้างอิงที่ 8 )

การรับประทานผักและผลไม้ จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ในผู้ที่ไม่สามารถจะทานผักและผลไม้ได้ หรือทานได้น้อย ปัจจุบันก็มีอาหารสุขภาพที่สกัดสารสำคัญจากผักและผลไม้ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค



ไฟโต วิต
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดจากผักและผลไม้รวม ชนิดเม็ด ตรา กิฟฟารีน

เอกสารอ้างอิง:
  • Relationship between the intake of high-fibre foods and energy and the risk of cancer of the large bowel and breast. Eur J Cancer Prev 1998;7 Suppl 2:S11-7:S11-7.
  • Protective effect of fruits and vegetables on stomach cancer in a cohort of Swedish twins. Int J Cancer 1998;76(1):35-7.
  • Dietary factors and risk of lung cancer in never-smokers. Int J Cancer 1998;78(4):430-6.
  • Vegetable and fruit intake and the risk of lung cancer in women in Barcelona, Spain. Eur J Cancer 1997;33(8):1256-61.
  • Intake of vitamins E, C, and A and risk of lung cancer. The NHANES I epidemiologic followup study. First National Health and Nutrition Examination Survey. Am J Epidemiol 1997;146(3):231-43.
  • Dietary carotenoids and vitamins A, C, and E and risk of breast cancer. J Natl Cancer Inst 1999;91(6):547-56.
  • Fruit and vegetable intake and incidence of bladder cancer in a male prospective cohort. J Natl Cancer Inst 1999;91(7):605-13.
  • Dietary antioxidants and risk of myocardial infarction in the elderly: the Rotterdam Study. Am J Clin Nutr 1999;69(2):261-6

ที่มาของข้อมูล : http://www.giffarinethailand.com

Wednesday, August 22, 2012

มาดูแลดวงตากันเถอะ!


คุณเป็นคนหนึ่งที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆใช่ไหม?

ตอนนี้กำลังมีปัญหาเมื่อยล้าดวงตา ตาแข็ง ตาแห้ง หรือ แม้แต่ดวงตาเกิดอาการอักเสพง่ายๆใช่ไหม?

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องใส่ใจบำรุงสุขภาพดวงตาของเรา ...

Q : คุณรู้ไหมสารอาหารที่บำรุงสายตาคืออะไร?
A :  ลูทีน ซีแซนทีน และวิตามิน เอ

Q : ลูทีนและซีแซนทีนมีประโยชน์ต่อดวงตาอย่างไร?
A :  ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารธรรมชาติที่มีในพืชผักผลไม้หลายชนิด เป็นสารในตระกูลของสารแคโรทีนอยด์ และพบได้ในบริเวณดวงตาตรงบริเวณเลนส์ตาและจอรับภาพของตาในธรรมชาติแล้ว แม้จะมีแคโรทีนอยด์มากกว่า  600 ชนิด แต่มีเพียงสาร 2 ชนิดนี้เท่านั้นที่พบในจุดรับภาพของจอตา สารทั้งสองชนิดนี้จะทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระ ดังนั้นจึงทำหน้าที่บำรุงตา ทำให้จอตาไม่เสื่อมเร็ว

Q : วิตามิน เอ มีประโยชน์ต่อดวงตาอย่างไร?
A : วิตามิน เอ มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ ที่สำคัญ คือ ช่วยในการมองเห็น โดยไปร่วมใช้ ในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามิน เอ อย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้

Q : ถ้าร่่างกายของเขาขาดสารลูทีนและซีแซนทีน จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไร?
A : เสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจก และ โรคจุดรับภาพเสื่อม

โรคต้อกระจก   
คือภาวะที่กระจกตาหรือเลนส์ตาขุ่น ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปในตาได้ ตามปกติต้อกระจกไม่ใช่โรคติดต่อ ต้อกระจกจะค่อยๆ ขุ่นไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาเป็นปีๆ และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
 
โรคจุดรับภาพเสื่อม   
เกิดจากการเสื่อมของจุดรับภาพ (Macular) ซึ่งเป็นกลางจอตา (Retina) ทำให้การมองเห็นภาพเบลอบิดเบี้ยว บางครั้งอาจรุนแรงขนาดเห็นจุดดำมาบังภาพอยู่ตลอดเวลา

Q : ลูทีนและซีแซนทีนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต้อกระจกได้อย่างไร?
A : กลไลของลูทีนและซีแซนทีน สามารถลด ป้องกัน หรือชะลอการเกิดต้อกระจกได้นั้น เป็นเพราะลดกลไกการเกิดความเสื่อมของโรคต้อกระจกโดยตรง และการที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดต้อกระจก มีการวิจัยในกลุ่มผู้สูงอายุ ต่างๆ พบว่ากลุ่มที่มีระดับของลูทีนและซีแซนทีนในกระแสเลือดสูงจะมีความขุ่นของเลนส์ตาน้อยกว่า ซึ่งเป็นการวิจัยของจักษุแพทย์และผู้วิจัยสรุปว่า ลูทีนและซีแซนทีน น่าจะลดการเกิดความเสื่อมของเลนส์ตาในผู้สูงอายุได้จริง ยังมีการวิจัยว่าการรับประทานลูทีนในปริมาณสูงเพิ่มความสามารถในการมองเห็นของผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกไปแล้ว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที่มีการออกแบบแผนการวิจัยมาอย่างดี และทำการทดลองเป็นเวลานานถึงสองปี การวิจัยที่ Harvard  School of Public Health, Boston ในผู้ชาย 36,644 คน ที่ได้รับอาหารเสริมและวิตามินต่างๆ พบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารเสริมเป็นลูทีนและซีแซนทีน จะลดความเสื่อมของโรคต้อกระจกถึง 19% และที่ University of Massachusetts ทำวิจัยในสุภาพสตรีถึง 50,461 คนพบว่า ลูทีนและซีแซนทีน จะลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกถึง 22% การวิจัยที่ University of  Wisconsin  Madison Medical School ในผู้สูงอายุ 43-48 ปี จำนวน 1,354 คน พบว่าช่วยลดอุบัติการณ์ของต้อกระจกที่เกิดตรงกลางเลนส์ (Nuclear Cataracts) ได้ถึง 50%  จากการวิจัยทั้งหมดนี้จึงเป็นที่ยอมรับว่า ลูทีนและซีแซนทีนลดอุบัติการณ์โรคต้อกระจกในผู้สูงอายุได้จริง

Q : ลูทีนและซีแซนทีนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจุดรับภาพเสื่อมได้อย่างไร?
A : นอกจากลูทีนและซีแซนทีนจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจกแล้ว ยังพบว่ามีประโยชน์ในโรคจุดรับภาพเสื่อม ซึ่งมีหลายๆ การศึกษาสนับสนุนข้อมูลดังกล่าว โดยพบว่าถ้าปริมาณลูทีนและซีแซนทีนในลูกตาลดน้อยลง จะพบความเสื่อมมากขึ้นในการเป็นโรคจุดรับภาพเสื่อม และความเสี่ยงในการเป็นโรคจุดรับภาพเสื่อมจะลดลง หากมีปริมาณลูทีนและซีแซนทีนในเลือดสูงขึ้น แสดงให้เห็นว่า การบริโภคอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีน สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้

Q : ลูทีนและซีแซนทีน จะไปหามาจากไหน?
A : สารลูทีนและซีแซนทีนจะพบในพืชผัก โดยมากมักจะเป็นผักผลไม้ที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ข้าวโพด แครอท ฟักทอง ผักกาด ผักปวยเล้ง คะน้า ผักโขมฯ


Tip :
ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลูทีนและซีแซนทีนมาให้เราทานกันแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยใช่ไหมล่ะสำหรับการดูแลรักษาดวงตา เพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาอย่างโรคต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม

อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.giffarinethailand.com




LZ VIT PLUS A
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลูทีน และซีแซนทีน ผสมวิตามินเอ ชนิดแคปซูล (ตรา กิฟฟารีน)

Tuesday, August 21, 2012

ขาวอมชมพู ... สีผิวที่สาวเอเชียใฝ่หา

Gluta Curcuma CE

มาทำความรู้จักกับสีผิวของเราก่อน  เม็ดสีผิวในชั้นผิวของเรามีอยู่ 2 ชนิด ตามธรรมชาติ ได้แก่ เม็ดสีผิวชนิดสีดำ/น้ำตาล (Eumelanin) และ เม็ดสีผิวชนิดขาว/ชมพู (Pheomelanin) ซึ่้งสัดส่วนของจำนวนเม็ดสีผิวทั้งสองชนิดนี้จะเป็นตัวกำหนดสีผิวของเราค่ะ นั้นก็คือ คนผิวขาวอมชมพูอย่างชาวตะวันตก และชาวเอเชียตอนเหนือ เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น  จะมีดส่วนของเม็ดสีผิวขาว/ชมพู หรือ Pheomelanin มากกว่าชาวไทยอย่างเราๆ  ดังนั้นคนไทยจึงมีสีผิวที่เข้มกว่านั่นเองค่ะ

เคล็ดลับการมีผิวกระจ่างใสอมชมพู ... ที่น่าบอกต่อ
วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลผิวพรรณให้ขาวใสอมชมพูก็คือ การบำรุงผิวจากภายในและภายนอกค่ะ  ทว่าการดูแลผิวพรรณภายนอกนั้น ควรท่องจำคำสำคัญ หรือ Keyword 3 คำนี้ให้ขึ้นใจเลยค่ะ นั่นก็คือ "บำรุง  ป้องกัน  และ ฟื้นฟู"


บำรุง
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Licorice Extract หรือ วิตามินซี เป็นต้น
Giffarine Whitening Stay-C 50 Magic Mask


ป้องกัน
แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นสิ่งมี่เราขาดไม่ได้  จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF 30-50 ในชีวิตประจำวัน หรือ ในวันที่ได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานค่ะ
Gramous Beaute' UV Defense Revatitaling Cream SPF 50 PA+++


ฟื้นฟู
คำนี้สำคัญมากนะคะ  วันที่เราสัมผัสแสงแดดจัดๆ หรือ วันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน  ผิวจะเกิดการอักเสบขึ้น  ดังนั้นควรปลอบประโลมผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบต้ากลูแคน หรือ สารสกัดจากแตงกวา หรือสารสกัดจากดอกบัว ด้วยก็จะดีมากค่ะ

Giffarine Repairy Treatment

Giffarine Dramatic Hydrating Cooling Mask


การดูแลผิวพรรณจากภายในให้ขาวใสอมชมพูก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันนะคะ
เราควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูต้าไธโอน  ที่ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวดำ/น้ำตาล และช่วยเพิ่มสัดส่วนของเม็ดสีผิวขาว/ชมพู  ซึ่งจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสอมชมพูในแบบที่เราต้องการค่ะ และถ้าจะให้ดีที่สุดควรเลือกผลิตภัณฑ์ หรือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารบำรุงผิวชั้นเยี่ยมอย่างสารสกัดจากขมิ้น  วิตามินซี  และ วิตามินอี  ด้วยนะคะ  เพื่อผิวที่แลดูขาวอมชมพู และ สุขภาพดีตลอดไปค่ะ

Giffarine Gluta Curcuma CE

Tips : กลูต้าไธโอนชนิดรีดิวซ์ เมื่ออยู่ในน้ำอาจสลายตัวเกิดกลิ่นแก๊สไข่เน่า (Hydrogen Sulfide) ได้  แต่ปัจจุบันมีกลูต้าไธโอนชนิดออกซิไดซ์ (Oxidized Glutathione) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่แห่งวงการผิวขาวที่มีความคงตัวสูงในสภาวะแวดล้อมต่างๆ จึงไม่เกิดกลิ่นแก๊สไข่เน่า  ทำให้รับประทานง่าย และ มอบคุณประโยชน์อย่างครบถ้วนเพื่อผิวที่กระจ่างใสอมชมพูเลือกผลิตภัณฑ์ หรือ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารบำรุงผิวชั้นเยี่ยมอย่างสารสกัดจากขมิ้น  วิตามินซี  และ วิตามินอี  ด้วยนะคะ  เพื่อผิวที่แลดูขาวอมชมพู และ สุขภาพดีตลอดไปค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ Beaty Secret; วารสารเส้นขอบฟ้า ฉบับประจำเดือนสิงหาคม 2555

Sunday, August 19, 2012

เสริมแคลเซียม ลดเสี่ยงกระดูกพรุน เริ่มวันนี้ ... พรุ่งนี้ยังไม่สาย!


ภาวะกระดูกพรุน ... ความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก  อันเกิดจากความผิดปกติของกระดูกที่ความแข็งแรงของเนื้อกระดูกลดลง  การสะสมแคลเซียมแต่เนิ่นๆ  ตั้งแต่วัยเด็กถึงวัย 20 ตอนปลายก็จะช่วยให้คุณมีโครงสร้างของกระดูกที่แข็งแรง  ไม่แตกหักได้ง่ายค่ะ

Q: ดิฉันชื่อหนูนาค่ะ  อายุ 27 ปี  ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นที่สุด  เรียกว่าดื่มแทนน้ำเปล่าได้เลยค่ะ  แต่เมื่อไม่นานมานี้  คุณแม่ของดิฉันเป็นโรคกระดูกพรุน  จึงกลัวว่าตัวเองจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนตามไปด้วย  เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบดื่มนมเลยค่ะ และหยุดดื่มนมมานานมากแล้ว  จึงขอถามว่าดิฉันจะรับประทานแคลเซียมเสริมได้หรือไม่ค่ะ? และควรเริ่มรับประทานปริมาณเท่าไรต่อวันดีค่ะ?

A : ก่อนอื่นเรามารู้จักภาวะกระดูกพรุน หรือ ภาวะกระดูกบางกันก่อนนะคะ  ภาวะกระดูกพรุน คือ ภาวะที่เนื้อกระดูกมีปริมาณลดลง และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในส่งผลให้กระดูกบางลง  จึงมีโอกาสที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่ายขึ้น  มักพบมากที่กระดูกข้อมือ  กระดูกสะโพก และ กระดูกสันหลังค่ะ  โดยปกติปริมาณเนื้อกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดเมื่ออายุประมาณ 30-35 ปี  หลังจากนั้นเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างช้าๆ  ในผู้หญิงที่ถึงวัยหมดประจำเดือน ปริมาณเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือ ฮอร์โมนเพศหญิงลดลง  ทำให้ผู้หญิงสูญเสียเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชายถึง 2-3 เท่า!!! ผู้หญิงในวัยนี้จึงจำเป็นต้องเสริมแคลเซียมเพื่อลดการเสื่อมสลายของเนื้อกระดูกค่ะ  จะเห็นได้ว่าทุกคนมีโอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนด้วยกันได้ทั้งนั้นโดยเฉพาะผู้หญิง  ดังนั้นการป้องกันแต่เนิ่นๆด้วยการสะสมแคลเซียมตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัย 20 ตอนต้น หรือ ตอนปลายก็ยังไม่สายนะคะ เริ่มทันทีตั้งแต่เดี๋ยวนี้! เพราะการป้องกันดีกว่า  ถูกกว่า และ ง่ายกว่าการรักษาค่ะ
Photo : http://www.drugs.com

คุณมีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะมีภาวะกระดูกพรุนหรือไม่?
  • วัยที่เพิ่มขึ้น  โดยเฉพาะตั้งแต่อายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ขาดฮอร์โมนเพศ เช่น หมดประจำเดือนถาวร  กินยาต้านฮอร์โมนเพศ เพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านม 
  • มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน 
  • ขาดวิตามินและแร่ธาตุที่บำรุงในการสร้างกระดูก  ได้แก่ โปรตีน  แคลเซียม  แมกนีเซียม  และ วิตามินดี 
  • รับประทานแคลเซียมปริมาณน้อยเกินไปในวัยเจริญเติบโต (ดื่มนมน้อยกว่า 3 แก้ว/วัน) และขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย 
  • รับประทานยาบางชนิดในปริมาณสูงต่อเนื่องเป็นประจำ  ส่งผลให้มวลกระดูกลดลง เช่น ยาลดกรดเคลือบกระเพาะ (ที่ลดการดูดซึมแคลเซียม)  ฮอร์โมนไทรอยด์  ยากลุ่มสเตียรอยด์  เคมีบำบัดโรคมะเร็ง เป็นต้น 
  • สูบบุหรี่หรือดื่มสุรารวมทั้งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์จัด  เนื่องจากมีสารพิษทำลายเซลล์รังไข่และอัณฑะ  ส่งผลให้ฮอร์โมนเพศลดลง 
  • ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนบ่อย  เช่น  กาแฟ  ชา  น้ำอัดลม  และ เครื่องดื่มชูกำลังบางชนิด เพราะคาเฟอีนเพิ่มการขับแคลเซียมทางปัสสาวะทำให้ปริมาณแคลเซียมในร่างกายลดลง



อย่างไรก็ตาม ... การได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้!!!  การได้รับแมกนีเซียมเสริมก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกันค่ะ  เพราะ แมกนีเซียมทำงานร่วมกับแคลเซียมในการเสริมความแข็งแรงของกระดูก  จึงควรรับประทานแมกนีเซียมในอัตราส่วน 1:2 กับแคลเซียม ส่วนวิตามินดีก็จะช่วยเพิ่มการดูดซึมจากแคลเซียมได้อีกด้วยค่ะ  ทั้งนี้ควรร่วมกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  งดบุหรี่ และ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ

คนที่เป็นโรคกระดูกพรุนมักจะไม่แสดงอาการใดๆเลย  แต่อาการที่เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเนื้อกระดูกมีปริมาณลดลงไปมาก  จนกระทั่งกระดูกขาดความแข็งแรงทนทาน  มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คุณพบว่า กระดูกของคุณหักเสียแล้ว

รู้อย่างนี้แล้วจะช้าอยู่ใย ... รีบเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายตอนนี้ก็ยังทัน เพราะ ... "พรุ่งนี้ไม่สายเกินไป  ถ้าเริ่มตั้งแต่วันนี้"

ที่มา : คอลัมน์ Beaty Chatroom; วารสารเส้นขอบฟ้า ฉบับประจำเดือนสิงหาคม 2555





Cal-D-MAG
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียม ผสมวิตามินดี 3, ซี, อี, แมกนีเซียม, สังกะสีและทองแดง ชนิดเม็ด ตรา กิฟฟารีน

Cal-D-MAG 600
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแคลเซียม ผสมแมกนีเซียม, วิตามินซี, สังกะสี, แมงกานีส, ทองแดง, วิตามินอี, วิตามินดี 3 ชนิดเม็ด ตรา กิฟฟารีน

Saturday, August 18, 2012

เทคนิคการเติมเสน่ห์ด้วยน้ำหอมกลิ่นโปรดให้หอมติดนาน

Giffarine Signature Sweet Blossom Eau de Parfum

กลิ่นหอมๆของน้ำหอมที่คุณใช้อยู่นอกจากจะบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนและช่วงอารมณ์ในแต่ละวันแล้ว  ยังมีส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เพราะกลิ่นหอมจากน้ำหอมสามารถเพิ่มเสน่ห์ให้แก่ผู้ใช้ และสร้างความประทับใจให้กับผู้คนรอบๆตัว

การใช้น้ำหอมเพื่อให้ได้กลิ่นหอมที่ติดทนนานตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยกลิ่นน้ำหอมไม่เปลี่ยนหรือเพี้ยนจากเดิมมากนัก "วันนี้มีเคล็ดไม่ลับกับเทคนิคการใช้และดูแลรักษาน้ำหอม มาฝากกันนะค่ะ"

รู้หรือไม่! กลิ่นมีผลโดยตรงกับสมอง ...
โดยกลิ่นจะมีผลให้สมองหลั่งสารที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และมีความสุขได้  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ "กลิ่นบำบัด" หรือ "Aromatherapy" ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั้งในยุโรป อเมริกา  และ เอเชีย

เทคนิคการฉีดน้ำหอม ... เพื่อเผยกลิ่นหอมได้ดังใจ

ฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร ...
เพียงฉีดน้ำหอมลงบนข้อมือทั้งสองข้าง  แล้วยกข้อมือลูบไล้หลังใบหู  น้ำหอมที่สัมผัสลงบนผิวทั้งสองส่วนจะส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน  เนื่องจากจุดชีพจรดังกล่าวเป็นตำแหน่งของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย  จึงช่วยกระจายกลิ่นหอมให้ส่งกลิ่นหอมได้เป็นอย่างดี

ฉีดโปรยน้ำหอมในอากาศแล้วเดินผ่าน ...
ช่วงที่อากาศร้อน  ผิวหนังจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นไปด้วย  ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหอมที่ฉีดโดยตรงลงบนผิวหรือจุดชีพจรมีกลิ่นเปลี่ยนไป  ดังนั้นอาจใช้วิธีฉีดโปรยในอากาศให้ห่างจากร่างกายประมาณ 1 ฟุต  แล้วเดินผ่านเพื่อให้ละอองน้ำหอมฟุ้งกระจายทั่วทั้งเรือนร่าง ก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ให้น้ำหอมส่งกลิ่นหอได้ตามต้องการ

รักษาอุณหภูมิน้ำหอมให้คงที่ ... เพื่อคุณภาพที่ดีตลอดอายุการใช้งาน

หลีกเลี่ยงการเก็บน้ำหอมใกล้แสงแดดและความร้อน
เนื่องจากแสงอาจมีผลเรื่องการเปลี่ยนสีของน้ำหอม และความร้อนอาจส่งผลให้น้ำหอมมีกลิ่นที่เปลี่ยนไปจากเดิมได้  ฉะนั้นจึงควรเก็บน้ำหอมไว้ในอุณหภูมิห้องปกติและไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น  แต่ถ้าบ้านที่มีอากาศร้อนมากๆจะเก็บน้ำหอมไว้ในตู้เย็นก็ได้ค่ะ

สังเกตสัญลักษณ์ที่บ่งบอกอายุการใช้งาน 
นอกจากการเก็บรักษาน้ำหอมในอุณหภูมิห้องปกติแล้ว  ใก้สังเกตสัญลักษณ์กระปุกเปิดฝาที่มีตัวเลขกำกับอยู่  เนื่องจากเป็นตัวเลขที่แจ้งถึงอายุของน้ำหอมหลังการเปิดใช้  เช่น สัญลักษณ์ 




หมายความว่า "น้ำหอมมีอายุ 24 เดือนหลังการเปิดใช้" เป็นต้น





รู้เคล็ดลับดีๆแบบนี้แล้วลองใช้กลิ่นหอมสร้างความประทับใจแรกพบดูสิคะ  คุณอาจได้เพื่อนใหม่ๆมามากมายแบบไม่รู้ตัว ...


ที่มา : คอลัมน์ Beaty Secret; วารสารเส้นขอบฟ้า ฉบับประจำเดือน มิถุนายน 2555



Giffarine Signature Eau de Parfum

Monday, August 13, 2012

เรื่องน่ารู้ของคอลลาเจนและสารอาหารเพื่อผิวพรรณที่อ่อนเยาว์

คอลลาเจน

ผิวหน้าในวัยเด็กนั้นจะเต่งตึงและเด้งได้เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว   ไม่ว่าจะหัวเราะ หรือ ร้องไห้  ริ้วรอยของอิริยาบถบนหน้าใบหน้าก็จะหายไปทันทีเมื่อหยุดหัวเราะหรือร้องไห้  ไม่ว่าจะทำบ่อยแค่ไหนก็ตาม  แต่พอมีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป  จะเกิดริ้วรอยจากอิริยาบถต่างๆบนหน้าผากและบนใบหน้าได้ง่ายๆ และริ้วรอยนี้จะเลือนหายยากเป็นเพราะผิวหนังไม่เด้งเหมือนเด็กแล้วนั่นเอง เปรียบเสมือนยางที่หมดคุณภาพ  พอยืดไปแล้วก็ไม่คืนตัวได้เช่นเดิม  ปัญหาเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีวิธีป้องกันนะคะ เราสามารถเติมอาหารให้ผิวของเราได้  มาดูกันค่ะว่าสารอาหารเพื่อผิวพรรณที่อ่อนเยาว์มีอะไรบ้าง

คอลลาเจน
Photo : http://www.homelighttherapy.com.au

เรื่องน่ารู้ของคอลลาเจน
คอลลาเจน ( Collagen ) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง มีส่วนสำคัญทำให้มีผิวพรรณที่มีสุขภาพดี เป็นตัวช่วยสร้างความตึงกระชับให้กับผิว  ผิวหนังจะมีการเสื่อมสภาพได้ ด้วยสาเหตุหลัก ๆ 2 ประการคือ  การเสื่อมตามวัย และ เสื่อมเนื่องจากผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม ทำให้ มีผลกระทบต่อผิวพรรณ  เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหมองคล้ำ ไม่เต่งตึง  ที่สำคัญคือ กลไกของความเสื่อมที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นจากทั้งสองสาเหตุนี้ เกิดจาก เส้นใยคอลลาเจน ( Collagen fibers )  ที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้ มีการเสื่อมลง   ผิวหนังของคนเรา ปกติแล้วแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ

1. ชั้นหนังกำพร้า ( Epidermis )
เป็น ผิวชั้นนอกสุด ประกอบด้วยเซลผิวหนัง ( Keratinocyte ) ซึ่งเป็นเซลที่มีหน้าที่สร้างสารเคอราติน ( Keratin )  ปกคลุมผิวหน้าของผิวหนังเป็นชั้นขี้ไคล  ชั้นหนังกำพร้านี้ทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นให้กับพื้นผิว ป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่  ( อ้างอิงที่ 1, 2 )

2.  ชั้นหนังแท้ ( Dermis )
เป็นผิวชั้นใน ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเส้นใยประสานกันไปมาคือ โปรตีนเส้นใยของคอลลาเจน ( Collagen fibers ), โปรตีนเส้นใยอีลาสติก ( Elastic fibers )  และโปรตีนเส้นใยร่างแห  ( Recticulum fibers ) นอกจากนี้ยังมีกล้ามเนื้อ เส้นเลือด เส้นประสาทต่าง ๆ ที่รับความรู้สึกอยู่ด้วย ( อ้างอิงที่ 1, 2 )

3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ( Subcutis )
ทำหน้าที่รองรับผิวหนังให้คงรูปร่าง  ช่วยลดการกระทบกระแทก และเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายยามขาดแคลนพลังงาน ( อ้างอิงที่ 1, 2 )


คอลลาเจน ( Collagen ) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ  คอลลา ( Kolla )  ซึ่งแปลว่ากาว  คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ประสานกันเป็นเส้นใยอยู่ใต้ชั้นผิวหนังแท้  ทำหน้าที่ เสริมความเรียบตึงให้แก่ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังดูเรียบ เนียนและ ทำงานคู่กับโปรตีนอีกชนิดหนึ่งที่ชื่อ อีลาสติน ( Elastin ) ในขณะที่คอลลาเจนมีหน้าที่เสมือนโครงร่างผิว  อีลาสตินก็ทำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ผิว ( อ้างอิงที่ 3)

ในวัย เด็ก คอลลาเจนยังไม่เสื่อมสลายและมีจำนวนมาก จึงทำให้เห็นว่าเด็ก ๆ หรือวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มสาวมีผิวหนังที่เต่งตึง แต่เมื่อมีวัยมากขึ้น เส้นใยคอลลาเจนเหล่านี้จะเสื่อมสลายและมีปริมาณลดลง ทำให้ชั้นผิวหนังยุบตัวลง อันเป็นต้นเหตุของความเหี่ยวย่นและริ้วรอย  อย่างไรก็ตาม เราสามารถเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ร่างกายได้เพื่อลดรอยเหี่ยวย่น ( อ้างอิงที่ 4 ) ด้วยการรับประทานคอลลาเจน หรือ วิธีการฉีดคอลลาเจนเข้าใต้ชั้นผิวหนังแท้ แต่วิธีการฉีดนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นวิธีการรับประทานจึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด


สารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและสุขภาพผิวที่ดี

วิตามินซี
• วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant )  มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในการเปลี่ยน กรดอะมิโน ( Amino Acid ) ชื่อ Proline เป็น Hydroxy Proline และ Lysine เป็น Hydroxylysine โดยทั้ง Hydroxyproline และ Hydroxylysine มีความสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ( อ้างอิงที่ 5 )
• เป็นตัวสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจนจากกรดอะมิโนให้กับผิว
• การขาดวิตามินซีอาจส่งผล ทำให้ยับยั้งการสังเคราะห์คอลลาเจน( อ้างอิงที่ 6 )

ไลโคปีน ( Lycopene )
• เป็นสารแคโรทีนอยด์สีแดง พบได้ในมะเขือเทศและผลไม้ที่มีสีแดง  ไลโคปีน เป็นสารแคโรทีนอยด์ที่พบว่ามีปริมาณมากที่สุดในร่างกายมนุษย์  โดยมักพบอยู่ในผนังเซล์และมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ สูงกว่าสารแคโรทีนอยด์อื่น ๆ   ไลโคปีน ช่วยลดความผิดปกติและความเสื่อมของเซลล์อันเนื่องมาจากการทำลายของอนุมูล อิสระจึงสามารถป้องเซลล์ในอวัยะต่าง ๆ ที่มีสารไลโคปีนอยู่  ( อ้างอิงที่ 7 )
• สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ด้วยกลไกการยับยั้งอนุมูลอิสระที่จะไปทำลาย LDL Cholesterol เพราะการที่ LDL Cholesterol ถูก Oxidized ด้วยอนุมูลอิสระ จะทำให้ดึงเม็ดเลือดขาวมาทำลายผนังหลอดเลือดทำให้เกิดการอักเสบและผนังหลอด เลือดหนาตัวขึ้นกลายเป็น Plaque หรือตะกอน เกาะที่ผนังหลอดเลือด ส่งผลทำให้หลอดเลือดแข็ง ไม่ยืดหยุ่นและตีบ มีงานวิจัยที่ชัดเจน ในญี่ปุ่น พบว่า ผู้ที่มีระดับ ไลโคปีนในเลือดสูงจะลดอัตราตายจากโรคหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ  ( อ้างอิงที่ 8 )
• ยับยั้ง เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของมนุษย์   ( อ้างอิงที่ 9 )
• อาจมีบทบาทในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ  โดย เริ่มมีงานวิจัยในเรื่องนี้ บ้างแล้ว แต่ยังมีข้อมูลจำกัดอยู่ คือยังมีไม่มากได้แก่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ( prostate cancer)   มะเร็งรังไข่ ( ovarian cancer ), มะเร็งกระเพาะอาหาร ( gastric cancer ) และมะเร็งตับอ่อน ( pancreatic cancers) ( อ้างอิงที่ 10, 11 )

ไลซีน ( Lysine )
• เป็นกรดอะมิโนจำเป็น ( Essential amino acid ) หมายความว่าร่างกายสร้างเองไม่ได้ ต้องรับประทานเข้าไปจากอาหารเท่านั้น มีความจำเป็นและเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนทุกชนิดในร่างกาย
•  ไลซีน (L-Lysine) เป็นสารตั้งต้นในการสร้าง Hydroxylysine ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ดังนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลกันว่าการรับประทานไลซีนจะช่วยเสริมสร้าง Collagen โดยไลซีนจะถูกเปลี่ยนเป็น Hydroxylysine ได้นั้น จำเป็นต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ( อ้างอิงที่ 5, 12 )
• ไลซีน นิยมทำเป็นอาหารสุขภาพ ทั้งแยกเดี่ยวต่างหาก และใส่ร่วมในอาหารสุขภาพชนิดอื่น ๆ

ทองแดง ( Copper )
• มีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน และยังทำงานร่วมกับวิตามินซีในการสร้าง อีลาสติน ( อ้างอิงที่ 13 ) ซึ่งจะทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น นุ่มนวลและแข็งแรง




       

แกรนเดอร์
ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารคอลลาเจนจากปลาทะเล ผสมสารสกัดจากชาเขียว, กรดอัลฟาไลโปอิก สารสกัดจากยีสต์, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากบิลเบอรี่,
ไลโคพีน โคเอนไซม์คิวเทน วิตามิน และแร่ธาตุ ชนิดแคปซูล ตรา กิฟฟารีน

คอลลาเจน แมกซ์
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คอลลาเจน ผสมวิตามินซี, ไลโคปีนและไลซีน ชนิดเม็ด ตรากิฟฟารีน
 

เอกสารอ้างอิง :
1. ผิวหนัง  อวัยวะมหัศจรรย์, นายแพทย์จิโรจ   สินธวานนท์, สถาบันโรคผิวหนัง  กรมการแพทย์, www.dms.moph.go.th/inderm/Health/health_00.html
2. ผิวหนัง : การดูแลผิวพรรณให้อ่อนเยาว์ ตอนที่ 1 , พญ. สุภาณี  ศุกระฤกษ์, บทความสุขภาพของโรงพยาบาลพระราม 9 , www.praram9.com/life_lib/artcal-print.asp
3. Collagen, Glossary word, www.dermatology.co.uk/explanation.asp?Glossary_WordID=334
4. Collagen-like peptide exhibits a remarkable antiwrinkle effect on the skin when topically applied: in vivo study., Bauza E, Oberto G, Berghi A, Dal CF, Domloge N. , Vincience Research Center, Sophia Antipolis, France., 2004;26(3-4):105-11.
5. The World’s Healthiest Foods, Can you tell me which foods promote collagen ?. www.whfoods.org
6. Ascorbate requirement for hydroxylation and secretion of procollagen: relationship to inhibition of collagen synthesis in scurvy., B Peterkofsky Laboratory of Biochemistry, National Cancer Institute, Bethesda, MD 20892., American Journal of Clinical Nutrition, Vol 54, 1135S-1140S
7. Study on lycopene and antioxidant contents variations in tomatoes under air-drying process. J Food Sci. 2007 Nov;72(9):E532-40.
8. Cardiovascular disease mortality and serum carotenoid levels: a Japanese population-based follow-up study. J Epidemiol. 2006 Jul;16(4):154-60.
9. Effect of lycopene on proliferation and cell cycle of hormone refractory prostate cancer PC-3 cell line : Wei Sheng Yan Jiu. 2007 Sep;36(5):575-8.
10. Lycopene in cancer prevention and treatment. Am J Ther. 2008 Jan-Feb;15(1):66-81
11. The U.S. Food and Drug Administration's evidence-based review for qualified health claims: tomatoes, lycopene, and cancer. J Natl Cancer Inst. 2007 Jul 18;99(14):1074-85. Epub 2007 Jul
12. Nelson, D. L.; Cox, M. M. "Lehninger, Principles of Biochemistry" 3rd Ed. Worth Publishing: New York, 2000. ISBN 1-57259-153-6.

ที่มา : http://www.giffarinethailand.com

Saturday, August 11, 2012

ออกซิไดซ์ กลูต้าไธโอน (Oxidized Glutathione) : นวัตกรรมเพื่อผิวขาวอมชมพู กระจ่างใสยิ่งกว่า

คุณเป็นคนหนึ่งที่กังวลกับปัญหาเหล่านี้หรือเปล่า?
ผิวคล้ำเสีย ...
ผิวหมองคล้ำ  ไม่กระจ่างใส ...
ผิวซีด  เหมือนคนอมโรค ...
ผิวไม่มีออร่า  ดูไม่มีราศี ...
อยากมีผิวขาวอมชมพู ...


Oxidized Glutathione กลูต้าไธโอนชนิดออกซิไดซ์ 
ให้ผิวกระจ่างใส  ดูมีออร่า



ทำความรู้จักกับ "กลูต้าไธโอน"
กลูต้าไธโอน คือ ไตรเปปไทด์ (Tripeptide) ที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ ซีสเตอิน  กลูตาเมต  และ ไกลซีน ซึ่งร่างกายสามารถผลิตขึ้นได้เองตามธรรมชาติ  โดยเฉพาะที่ตับกลูต้าไธโอนมีบทบาทสำคัญในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย  นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ  จึงช่วยปกป้องเซลล์มิให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ  ในร่างกายเราตามธรรมชาติจะมีกลูต้าไธโอนอยู่ 2 ประเภท คือ รีดิวซ์ กลูต้าไธโอน (Reduced Glutathione) และ ออกซิไดซ์ กลูต้าไธโอน (Oxidized Glutathione)

Oxidized Glutathione


Oxidized Glutathione

"ออกซิไดซ์ กลูต้าไธโอน" เหนือกว่า "รีดิวซ์ กลูต้าไธโอน" อย่างไร
ปัจจุบันมีผิลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในท้องตลาดมากมายและมีจำนวนไม่น้อยที่มีส่วนผสมของ รีดิวซ์ กลูต้าไธโอน (Reduced Glutathione) ซึ่งกลูต้าไธโอนชนิดนี้ไม่คงตัวในน้ำและอุณหภูมิที่สูงขึ้น นั่นคือ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเคมี และเกิดแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide) หรือ ที่รู้จักกันในนาม "แก๊สไข่เน่า" ซึ่งทำให้เครื่องดื่มมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ และกลิ่นนี้จะติดทนนานเป็นชั่วโมงหลังงจากการดื่ม  ดังนั้นการใช้ออกซิไดซ์ กลูต้าไธโอน ซึ่งมีความคงตัวสูงในน้ำและอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น  แต่มีราคาที่สูงกว่าอันเนื่องมาจากกระบวนการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อนกว่า  จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาความไม่คงตัวของรีดิวซ์ กลูต้าไธโอน

กลไกยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวของกลูต้าไธโอน
เม็ดสี หรือ เมลานิน (Melanin) ถูกสังเคราะห์ขึ้นในเซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ที่อยู่ในผิวชั้นเอพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือ ชั้นหนังกำพร้า  เมลานินที่ผิวมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ยูเมลานิน (Eumelanin) เป็นเม็ดสีผิวชนิดดำ/น้ำตาล  และฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) เป็นเม็ดสีผิวชนิดขาว/ชมพู  สัดส่วนของเมลานินทั้งสองชนิดนี้เป็นตัวกำหนดสีผิวของเรา  โดยคนเอเชียส่วนใหญ่จะมีปริมาณยูเมลานินมากกว่า จึงมีผิวที่คล้ำกว่าและชมพูน้อยกว่าคนในแถบทวีปยุโรปหรืออมริกานั่นเอง

จากรูป Melanin Generating Pathway ด้านล่าง  กลูต้าไธโอนมีกลไกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสังเคราะห์เม็ดสีผิวยูเมลานิน (Eumelanin) หรือ เม็ดสีผิวสีดำ/น้ำตาล  ดังนั้น กลูต้าไธโอนจึงมีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวชนิดดำ/น้ำตาลด้วย



กลูต้าไธโอนให้ผิวขาวอมชมพูจริงหรือ?
จากภาพกลไกการยับยั้งเม็ดสีผิวของกลูต้าไธโอน จะเห็นได้ว่าเมื่อกลูต้าไธโอนยับยั้งแนวทางการผลิต ยูเมลานิน (Eumelanin)  กลไกการสร้างเม็ดสีผิวก็จะเปลี่ยนทางมาผลิต ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีขาว/ชมพูมากขึ้น  ผิวจึงกระจ่างใสอมชมพู แลดูสุขภาพดี




อาหารผิว ... ไม่ใช่แค่กลูต้าไธโอน
อยากผิวสวยแบบเบ็ดเสร็จ ... ฟังทางนี้  นอกจากการรับประทานกลูต้าไธโอนที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวและให้ผิวสวยกระจ่างใสขึ้นแล้ว การรับประทานอาหารผิวอื่นๆก็สำคัญเช่นกัน เช่น วิตามินซี  ที่นอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีแล้ว  ยังช่วยทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น  ผิวจึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น และยังมีงานวิจัยที่พบว่าวิตามินซีมีส่วนช่วยในการทำงานของกลูต้าไธโอนอีกด้วย  วิตามีนอี ก็เป็นอาหารผิวอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีว่ามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น  นอกจากนี้เคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoids) สารสกัดจากขมิ้นก็เป็นสารที่นิยมนำมาใช้บำรุงผิวกันอย่างแพร่หลาย เพราะมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง  ต้านอนุมูลอิสระ  ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย  ซึ่งเป็นที่มาของของโรคผิวหนังชนิดต่างๆได้ดีอีกด้วย

Gluta Curcuma C-E Drink


เกร็ดน่ารู้ ...
ปริมาณกลูต้าไธโอนสูงที่สุดต่อ 1 หน่วยบริโภค ที่ อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) รับรอง คือ 250 มิลลิกรัม

References :
1. Nattavuth A., Pravit A. Gluthathione as an oral whitening agent. Journal of Dermatology Treatment.2010; Early online, 1-6
2. Glutathione Depletion Increases Tyrosinase Activity in Human Melanoma Cells. Journal of Investigative Dermatology (1993) 101, 871-874
3. Villarama CD, Maibach HI. Glutathione as a Depigmenting agent: an overview. Int J Cosmet Sci.2005 Jun; 27(3): 147-53
4. Ortonne JO, Bissett DL. Latest insights into skin hyperpigmentation. J Invest Dermatol. 2008; 13: 10-14
5. Vitamin C, University of Maryland Medical Center, http://www.umm.edu/altmed/articles/vitamin-c-000339.htm. 10/05/2012
6. Vitamin E, University of Maryland Medical Center, http://www.umm.edu/altmed/articles/002406.htm. 10/05/2012
7. Banerjee A, Nigam SS. Antimicrobial efficacy of the essential oil of Curcuma longa. Indian J Med Res 1978; 68: 864-6
8. Curcuminoids. องค์การเภสัชกรรม,http://202.129.59.198/curmin/index.asp.15/05/2012
9. องค์การอาหารและยา. http://elib.fda.moph.go.th. 20/05/2012

ที่มา : โบรชัวร์ Oxidized Glutathione



Gluta Curcuma C-E Drink

 

Wednesday, August 8, 2012

แก้ท้องผูกด้วย "มะขามแขก"


สำหรับคนที่มีอาการท้องผูกมักจะรู้สึกไม่สบายท้อง  เวลาเข้าห้องน้ำต้องออกแรงเบ่งมาก  บางคนก็อาจมีอาการคลื่นไส้เล็กน้อยร่วมด้วย  วันนี้ขอนำเสนอเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการแก้ท้องผูกด้วยสมุนไพรไทย นั่นคือ "มะขามแขก" ค่ะ

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ภาวะท้องผูกกับมะขามแขก
ภาวะท้องผูก ซึ่งจัดเป็นอาการที่เกิดกับระบบทางเดินอาหาร เกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย สำหรับรายที่มีอาการท้องผูกเล็กน้อย คงไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาในการรักษาแต่อย่างใด แต่หากมีอาการท้องผูกมากขึ้น และเป็นประจำ การใช้ยา ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม ท้องผูกจัดเป็นอาการ มิใช่เป็นชื่อของโรค การจะทราบว่าใครมีภาวะท้องผูกบ้าง อาจดูได้จากอาการต่อไปนี้ คือ ต้องเบ่งอุจจาระมากกว่าร้อยละ 25 ของการขับถ่ายทั้งหมด หรือการมีภาวะอุจจาระแข็ง ถ่ายอุจจาระไม่หมด รู้สึกตุงบริเวณทวารหนัก หรือต้องใช้นิ้วล้วงทวารหนักเพื่อช่วยการขับถ่าย และ สุดท้าย คือ จำนวนการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากเกิดอาการข้างต้นมากกว่า 2 อาการ ถือว่ามีภาวะท้องผูก

สาเหตุการเกิดอาการท้องผูก อาจเกิดได้จากมีความผิดปกติทางกายภาพ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติทางสรีระหรือโรคของสำไส้ รูทวาร ไขสันหลัง ความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการถ่าย การอุดตันของสำไส้ มะเร็งลำไส้ หรือพบร่วมกับโรคของระบบอื่น เช่น ภาวะการมีฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ และการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายความกังวล ยารักษาโรคจิต และอาการซึมเศร้า เป็นต้น
ท้องผูกโดยไม่มีความผิดปกติทางกายภาพ เป็นอาการท้องผูกที่พบในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคสาเหตุอาจเกิดได้จาก อุปนิสัยการขับถ่าย ความเป็นอยู่ หรือจากสิ่งแวดล้อม อารมณ์และจิตใจก็ได้ เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากน้อย ดื่มน้ำน้อย การขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น หรือแม้แต่การกลั้นอุจจาระเนื่องจากความรีบร้อนในการทำงาน ทำให้ละเลยต่อการปวดถ่าย

การรักษาอาการท้องผูก
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
กรณีภาวะที่มีอาการท้องผูกไม่รุนแรง อาการหายไปโดยไม่ต้องใช้ยาได้ ซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้
- ควรรับประทานอาหารที่มีกาก เช่น ผักต่าง ๆ และ ดื่มน้ำมาก ๆ
- พยายามปรับสภาพชีวิตประจำวันให้มีการออกกำลังกายให้มากขึ้น เช่น ลดการใช้ลิฟท์หรือบันไดเลื่อนแล้วใช้การเดินแทน หรือการเดินแทนการขึ้นรถในระยะทางใกล้ๆ
- บริหารร่างกายส่วนที่ให้ผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพราะจะช่วยให้ขับถ่ายได้เป็นปกติและเป็นเวลา เช่น การให้นอนราบ เอามือวางบนอก เกร็งกล้ามเนื้อให้พยุงตัวขึ้นนั่ง โดยพยายามอย่างอเข่า หรือยกเท้า ทำซ้ำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง หรือ ให้นอนราบ เอามือวางบนอก เกร็งกล้ามเนื้อท้องให้สามารถยกขาขึ้น เหนือพื้นโดยเหยียดขาให้ตรง ทำซ้ำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง

การรักษาโดยการใช้ยา
เมื่อเกิดภาวะท้องผูกและมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา ควรใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควร ใช้
ติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดยา และการเกิดกลุ่มอาการท้องผูกสลับท้องเสีย (Irritable Bowel Syndrome) ซึ่งจะทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ ลดลงมากกว่าปกติ เยื่อเมือกบุผนังลำไส้เหี่ยวผิดปกติ กล้ามเนื้อใต้เยื่อบุผิวลำไส้หนามากขึ้น ปมประสาทเสื่อม และเกิดการสูญเสียโปรตีนทางลำไส้ได้ (อ้างอิงที่ 1)

ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulants) มีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มไดฟีนีลมีเทน (Diphenylmethanes), น้ำมันละหุ่ง (Castor Oil), กลุ่มแอนตี้โคลีนเอสเทอเรส (Anticholinesterases), ยาเหน็บกลีเซอรีน (Glycerin), กลุ่มแอนทราซีนไกลโคไซด์ (Anthracene Glycosides) (อ้างอิงที่ 1) หนึ่งในยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ที่รู้จักกันดี คือมะขามแขกซึ่งเป็นยาในกลุ่ม แอนทราซีนไกลโคไซด์ (Anthracene Glycosides)


ภาพประกอบ : ThaiHealth.in.th

มะขามแขก มีชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือ Senna มีชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Senna alexandrina  P. Miller หรือCassia angustifolia มีประวัติการนำมาใช้เป็นยาระบายมานานเกือบ 100 ปี ในใบและฝักมะขามแขก มีสารที่ชื่อ แอนทราควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ทำให้ถ่ายท้องได้ (อ้างอิงที่ 2) มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากรองรับสรรพคุณของมะขามแขก ดังนี้

1.  ด้านสารสำคัญในการออกฤทธิ์เป็นยาถ่าย
มีการศึกษาพบฤทธิ์เป็นยาถ่าย สารที่ออกฤทธิ์ คือ sennoside A และ B, aloe emodin, dianthrone glycoside ซึ่งเป็น anthraquinone glycoside สาร anthraquinone glycoside จะยังไม่มีฤทธิ์เพิ่มการขับถ่ายเมื่อผ่านลำไส้เล็ก เมื่อผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่   Sennoside A จึงถูก hydrolyze ได้ sennoside A-8-monoglucoside   และถูก hydrolyzed โดย bata-glycosidase จากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ และอุจจาระได้แก่ Bacillus, E. Coli ได้ sennidin A   ส่วน sennoside B ก็จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกระบวนการเช่นเดียวกันได้ sennidin B   ทั้ง sennidin A & B จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้ และถูกเปลี่ยนต่อไปเป็น rheinanthrone   ซึ่งออกฤทธิ์ต่อลำไส้ส่วน colon โดยตรง สารสำคัญนี้จะกระตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทซึ่งอยู่ใต้ชั้น Submucosa ทำให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ (อ้างอิงที่ 3)

2.  ฤทธิ์ในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้
มีผู้พบฤทธิ์กระตุ้นลำไส้ใหญ่ (อ้างอิงที่ 3) และมีการศึกษาในอาสาสมัคร 12 คน โดยให้ดื่มชาชงมะขามแขก เปรียบเทียบกับการรับประทานยา erythromycin  จากนั้นทำการถ่ายภาพลำไส้ใหญ่ด้วยวิธี Magnetic Resonance Imaging (MRI) ก่อนและหลังได้รับชาชงหรือยา  พบว่ากลุ่มที่ได้รับชาชงมะขามแขกจะทำให้ลำไส้ใหญ่ส่วน colon มีการเคลื่อนไหวมากกว่ากลุ่มที่ได้รับ erythromycin อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (อ้างอิงที่ 3, 4)

3.  การทดลองทางคลินิกสำหรับใช้รักษาอาการท้องผูก
มีการศึกษาในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ที่มีอาการท้องผูกจำนวน 92 คน อายุระหว่าง 43-82 ปี โดยให้ผู้ป่วย 61 คน รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์ ซึ่งเป็นแคลเซียมฟอร์มของเซนโนไซด์จากใบมะขาม แขกที่ใช้เป็นยาระบาย ขนาดเม็ดละ 15 มก.  2 เม็ด ก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 และให้รับประทานติดต่อกันจนถึงวันที่ 7 หลังการผ่าตัด  และคนไข้อีก 31 คน เป็นกลุ่มควบคุม ไม่ได้รับยาระบายใดๆ  พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์  ถ่ายอุจจาระคล่องตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 4 หลังรับประทานยา คิดเป็นร้อยละ 90  การถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 1.23 ครั้ง/คน  ส่วนกลุ่มควบคุมมีเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น ที่ถ่ายอุจจาระคล่อง  สัดส่วนของการถ่ายอุจจาระคล่องในผู้ป่วยที่รับประทานยาแคลเซียมเซนโนไซด์ มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (อ้างอิงที่ 3)

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในผู้ป่วยหลังผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก จำนวน 81 ราย อายุระหว่าง 52-86 ปี  โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มควบคุม ซึ่งไม่ได้รับยา  กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาเม็ดมะขามแขก 2 เม็ด ก่อนนอนทุกคืน หลังผ่าตัดในวันที่ 1 ติดต่อกันนาน 14 วัน  กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ได้รับยาระบาย Milk of  Magnesia (MOM) 30 มล. ก่อนนอน นาน 14 วัน จากนั้นทำการบันทึกลักษณะอุจจาระ และจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ พบว่าสัดส่วนของผู้ที่มีอาการท้องผูกและท้องเสียมีความแตกต่างกันระหว่าง 3 กลุ่ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ  กลุ่มควบคุมถ่ายอุจจาระไปทางแข็งที่ไม่พึงประสงค์มากกว่าอื่น  ส่วนกลุ่ม MOM ถ่ายไปในทางเหลวและน้ำมากกว่ากลุ่มอื่น จากการศึกษาในครั้งนี้สรุปได้ว่าการใช้ยาเม็ดมะขามแขกในผู้ป่วยหลังผ่าตัด มะเร็งต่อมลูกหมาก จะช่วยให้การถ่ายอุจจาระในลักษณะที่พึงประสงค์ (ปกติและเหลว) ได้ดีกว่าการใช้ยา MOM  (อ้างอิงที่ 3)
มีการทดลองทางคลีนิคเพิ่มเติมโดยให้มารดาที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรกินมะขามแขก พบว่าใช้ได้ผลดี และไม่มีผลกระทบไปถึงทารก (อ้างอิงที่ 3, 5)

เอกสารอ้างอิง :
- เอกสารเผยแพร่เรื่อง การใช้ยาระบาย. กลุ่มพัฒนาระบบ กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. http://www.oryor.com/oryor/admin/module/fda_info/file/f_39_1171707297.pdf
- มะขามแขก. องค์การเภสัชกรรม http://www.gpo.or.th/herbal/senna/senna.htm
- มะขามแขก. สมุนไพรที่ใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน. หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร ณ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/index.asp
- Assessment of large bowel motility by cine magnetic resonance imaging using two different prokinetic agents: a feasibility study. Invest Radiol. 2005 Nov;40(11):689-94.
- Clinical Study of Senna Administration to Nursing Mothers Assessment of Effects on Infant Bowel Habits. Can Med Assoc J. 1963 September 14; 89(11): 566–568.

ที่มาของข้อมูล : http://www.giffarinethailand.com




ยาชงสมุนไพรมะขามแขก (ตรากิฟฟารีน)

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...